สวอนซี

“หงส์ขาว” ฟอร์มระยะหลังไม่คมนัก ชนะแค่เกมเดียวจาก 6 เกมหลังสุดในทุกรายการ  โดยเกมล่าสุดบุกเสมอ เอฟเวอร์ตัน 0-0 แต่ในบ้านระยะหลังใช้ได้ ชนะ 3 จาก 5 เกมในลีก

ทางด้านกลุ่มที่เจ็บอยู่เดิมอย่าง มิดฟิลด์วัย 32 ปี ลีออน บริตตัน และ แอชลี่ย์ ริชาร์ดส์ มิดฟิลด์เลวส์ ยังคงพลาดลงสนามต่อไป


 อาร์เซน่อล

“ไอ้ปืนใหญ่” กลับมาอยู่ในฟอร์มที่ดีอีกครั้ง ในลีกไต่ขึ้นมาอยู่อันดับ 4 ของลีกแล้ว หลังถล่มเบิร์นลี่ย์ 3-0 ในสัปดาห์ก่อน  ส่วนนัดล่าสุด แผ่วปลายได้แค่เสมอ อันเดอร์เลชท์ 3-3 ในถ้วย ชปล. แต่โอกาสเข้ารอบยังเปิดกว้าง

ส่วนกลุ่มที่เจ็บอย่าง โลร็องต์ กอสซิแอลนี่ เซนเตอร์ฝรั่งเศส, เมซุต โอซิล เพลย์เมกเกอร์เยอรมัน, ดาวิด ออสปิน่า นายทวารโคลอมเบีย, ยาย่า ซาโนโก้ กองหน้าฝรั่งเศส, อาบู ดิยาบี้, โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ศูนย์หน้าฝรั่งเศส และ มาติเยอ เดอบูชี่ กองหลังฝรั่งเศส พลาดลงเล่นทั้งหมด

สวอนซีทรงบอลใช้ได้ ไม่นิยมปรับทัพทำให้ทีมเวิร์กลงตัว อย่างไรก็ตามฟอร์มระยะหลังไม่แข็งแกร่งเท่าไหร่ ผิดกับอาร์เซน่อลที่กำลังเข้าฟอร์มอย่างแรง โดยเฉพาะ อเล็กซิส ซานเชซ ที่ยิงเป็นเข้า อีกทั้งสถิติเจอกันระยะหลังยังข่ม 5 เกมหลังในทุกรายการไม่แพ้ โดยชนะถึง 3 นัด ลูกตะกั่วไม่เข้าใครออกใคร เชียร์ปืนโตดีกว่า

ตีแตกราคากับเซียนแกะ ไอปืนใหญ่บุกราคามาต่อที่ ป.ป. เท่านั้น ราคามาแปลกพอสมควรถึงจะเป็นเกมเยือนก็ตามเถอะ แต่ว่าศักยภาพนักเตะนั้นต่างกันพอสมควร แล้วแถมฟอร์มของปืนใหญ่ก็ออกจะดีกว่ามากด้วยซ้ำ สถิติที่เจอกันที่บ้านของสวอนซี ด้านปืนใหญ่ก็ทำได้ดีกว่ามาตลอด ราคาออกมาแบบนี้มั่นใจอยู่รองเจ้าบ้าน ป.ป. ได้เลย มีโอกาสแบ่งแต้ม หรือเก็บชัยได้เลย

 สเปอร์ส

“ไก่เดือยทอง” ชนะถึง 4 จาก 5 เกมหลังสุดในทุกรายการ โดยกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา บุกเฉือนแอสเตราส 2-1 อย่างไรก็ตาม  ในลีกฟอร์มยังไม่สม่ำเสมอ 4 เกมหลัง แพ้และชนะอย่างละ 2  ขณะที่เกมเหย้า แพ้ถึง 3 จาก 4 เกม ล่าสุดในลีก

ทั้งนี้ ทีมได้ อูโก้ โยริส นายทวารมือหนึ่งพ้นโทษแบนในเกมยุโรป พร้อมกลับมาเฝ้าเสา เช่นเดียวกับ ยูเนส กาบุล, แดนนี่ โรส, เอเตียน กาปู, ไรอัน เมสัน และ นาเซอร์ ชาดลี่ ที่ได้พักกลับมาเป็นตัวจริงทั้งหมด


 สโต๊ค ซิตี้

“ช่างปั้นหม้อ” พลาดคว้า 3 แต้ม ในสัปดาห์ก่อนอย่างน่าเสียดาย หลังเป็นฝ่ายนำ เวสต์แฮม ถึง 2 ประตู แต่กลับจบเกมด้วยผลเสมอ 2-2 ฟอร์มนอกบ้านเกมลีกซีซ่ั่นนี้ เพิ่งชนะเกมเดียวเหนือ แมนฯ ซิตี้ 1-0 เมื่อปลายเดือนสิงหาคม

ทางด้าน โรเบิร์ต ฮูธ กองหลังเยอรมันใกล้ฟิตเต็มร้อย เตรียมกลับมาเป็นทางเลือก แต่ทีมยังขาด เกล็น วีแลน มิดฟิลด์ทีมชาติไอร์แลนด์ บาดเจ็บหัวเข่า พักยาว 6 สัปดาห์ และ ปีเตอร์ โอเดมวิงกี้ กองหน้าไนจีเรีย บาดเจ็บหัวเข่า พักยาวหมดสิทธิ์ลงสนามทั้งคู่

สเปอร์สลงเล่นติดต่อกันมาหลายเกม สภาพความสดเป็นรอง แต่เกมนี้ได้เล่นในบ้านตัวเองได้เสียงเชียร์หนุน  กระนั้นสโต๊คมาเยือนด้วยขุมกำลังชุดเก่ง โดยเฉพาะแนวรุกที่จี๊ดจ๊าดโต้กลับได้อันตราย สเปอร์สพักน้อยกว่าเล่นไปเรื่อยๆ อาจหมดแรงข้าวต้ม รองสโต๊คดีกว่า มีลุ้นแบ่งแชร์แต้ม

ตีแตกราคากับเซียนแกะ สเปอร์สเปิดบ้านต่อที่ 0.75  ฟอร์มโดยรวมของทั้ง 2 ทีมนั้นไม่ต่างกันมากนัก ถึงแม้หลังๆเจ้าบ้านสเปอร์สจะโชว์ฟอร์มได้ดีกว่า โดยการเก็บชัย 3 นัดรวด ทุกรายการมาแล้ว วันนี้ได้เล่นในรังของตัวเอง น่าจะเพิ่มความมั่นใจได้ไม่น้อย ถึงแม้จะกรำศึกหนักมาก็ตาม  ด้านทีมเยือนฟอร์มนอกบ้านจัดได้ว่าห่วยสุดๆ วันนี้มาเยือนด้วยขุมกำลังชุดเก่งก็จริง แต่บดบี้กันแล้ว มองว่าราคาที่ออกมา สเปอร์สน่าจะเก็บชัยได้แต่จะ 1 หรือ 2 ลูกต้องลุ้นกันอีกที

 ซันเดอร์แลนด์

เจ้าบ้าน ซันเดอร์แลนด์ ทีมอันดับ 15 ของเทรนเนอร์ กุส โปเย่ต์ เพิ่งจะเอาชนะ คริสตัล พาเลซ 3-1 หลังจากที่เสีย 10 ประตูจากสองเกมก่อนหน้านั้น

สำหรับความพร้อมล่าสุดของทีมจะหมดสิทธิ์ใช้บริการ ลี แคทเทอร์โมล์ มิดฟิลด์เลือดเดือดที่ติดโทษแบน ทำให้ เลียม บริดคัตต์ (4 นัด) ได้โอกาสลงสนามเป็นตัวจริง นอกจากนี้ในรายของ แพทริค ฟาน อันโฮลท์ แบ็คซ้ายตัวหลักเจ็บไหล่ต้องรักษาตัวอีกพักใหญ่ และคาดว่า โปเย่ต์ น่าจะขยับ จอห์น โอเช (10 นัด) ไปยืนแบ็คซ้ายแทน โดยให้ เวส บราวน์ (8 นัด) ประจำการในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็คในเกมนี้ ส่วนผู้เล่นเช็คฟิตอย่าง แจ็ค ร็อดเวลล์ และ ริคาร์โด้ อัลบาเรซ ซึ่งรายหลังเพิ่งหายเจ็บกลับมา น่าจะมีชื่อแค่ตัวสำรองเท่านั้น


 เอฟเวอร์ตัน

ส่วนทางฝั่งของทีมผู้มาเยือนอย่าง เอฟเวอร์ตัน ทีมอันดับ 10 ของกุนซือ โรเบร์โต้ มาร์ติเนซ โชว์ฟอร์มน่าเหลือเชื่อ ด้วยการไม่แพ้ใคร 5 เกมหลังสุดรวมทุกรายการ แถมยิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำถึง 9 ลูกจาก 3 เกมที่เอาชนะได้ และยังเสียเพียงแค่ประตูเดียวเท่านั้น
สำหรับความพร้อมล่าสุดของทีม จะไม่มีชื่อของ อันโตลิน อัลคาราซ เซ็นเตอร์แบ็ครายล่าสุดที่เจ็บ และนั่นทำให้ ซิลแว็ง ดิสแต็ง (4 นัด) ถูกส่งลงสนามจับคู่กับ ฟิล ยากีลก้า (10 นัด/2 ประตู) ส่วนในรายของ แกเร็ธ แบร์รี่ กับ ซีมุส โคลแมน สองตัวเก่งต้องลุ้นเช็คฟิตเนื่องจากอาการบาดเจ็บรบกวนเล็กน้อย และแน่นอนว่า โรเมลู ลูกากู (10 นัด/4 ประตู) ดาวยิงร่างยักษ์จะได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง

สำหรับทีมเยือนอย่าง เอฟเวอร์ตัน แล้วนั้น พวกเขายิ่งดีวันดีคืนและยิงประตูได้เป็นเทน้ำเทท่า โดยซัดไป 9 ประตูใน 3 เกม และยังไม่แพ้ใคร 5 เกมหลังสุด เท่านั้นยังไม่พอ สถิติการออกไปเล่นเป็นทีมเยือน 5 เกม ชนะได้ถึง 2 ครั้งและแพ้ไปเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แถมแผงเกมรุกที่กำลังฟอร์มเข้าฝักอย่างพวก โรเมลู ลูกากู, สตีเว่น เนสมิธ และ รอสส์ บาร์คลี่ย์ ยิ่งเพิ่มศักยภาพในการจบสกอร์ขึ้นไปอีก เชื่อว่าวันนี้ “ท็อฟฟี่สีน้ำเงิน” ไม่พลาดแน่นอน สวนทางกับทีมเจ้าถิ่น ซันเดอร์แลนด์ ที่เสียไป 10 ประตู จาก 2 เกมก่อนหน้า แม้ว่าจะสามารถเอาชนะ คริสตัล พาเลซ 3-1 มาก็ตาม แต่การที่ไม่มี ลี แคทเทอร์โมล์ กับ แพทริค ฟาน อันโฮลท์ ทำให้ เวส บราวน์ เจ้าพอโอนโกลได้ลงสนามเฝ้าหลังบ้าน น่าเป็นห่วงจริง ๆ สำหรับเกมรับ “แมวดำ” ฟันธง! อยู่ต่อเท่านั้นหากอยากรับทรัพย์ เชื่อ เอฟเวอร์ตัน ตะบันแข้งทุบเรทครึ่งเม็ดเสร็จโจร…!

 เวสต์บรอมวิช

เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ทีมอันดับ 11 ของเทรนเนอร์ อลัน เออร์วีน เพิ่งจะพาทีมบุกเอาชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ 1-0 ชนิดหักปากกาเซียน แต่ก่อนหน้านั้น 4 เกมไม่ชนะใครได้เลย และเสียประตูทุกนัด

สำหรับความพร้อมของทีมในวันนี้ จะไม่สามารถใช้บริการของ เคร็ก การ์ดเนอร์ ที่ติดโทษแบนสะสมใบเหลืองครบ 5 ใบ และทำให้ ยุสซุฟ มูลัมบู (5 นัด) ได้รับโอกาสลงสนามแทน ซึ่งคาดว่า เออร์วีน น่าจะปรับมาใช้ระบบ 4-2-3-1 โดนวาง ไซโด้ เบราฮิโน่ (10 นัด/7 ประตู) ยืนเป็นหัวหอกตัวเป้า และให้ แกรม ดอร์แรนส์ (10 นัด/1 ประตู), คริส บรั้นท์ (10 นัด) และ สเตฟาย เซสเซอญง (9 นัด/1 ประตู) คอยทำเกมในแดนกลาง


 นิวคาสเซิ่ล

ส่วนทางฝั่งของทีมผู้มาเยือนอย่าง นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ทีมอันดับ 12 ของกุนซือ อลัน พาร์ดิว ทำทีมเก็บชัย 4 เกมรวดหลังสุด และยังเสียเพียงแค่ประตูเดียวเท่านั้น

สำหรับความพร้อมล่าสุดของทีมจะไม่สามารถใช้งาน กาเบรียล โอแบร์กต็อง ที่ได้รับบาดเจ็บในรายล่าสุด ส่วนทางด้านของ ชีค ติโอเต้ และ ปาปิสส์ ซิสเซ่ ต้องลุ้นความฟิตกันอีกครั้ง และในรายหลังน่าจะทันสำหรับการออกสตาร์ทเป็นตัวจริง ซึ่งแผนการเล่นในวันนี้ พาร์ดิว น่าจะใช้ระบบ 4-3-3 โดยใช้ ปาปิสส์ ซิสเซ่, อาโยเซ่ เปเรซ (9 นัด/2 ประตู) และ โรลันโด้ อารอนส์ (3 นัด/1 ประตู) เป็นสามประสานในแดนหน้า

แค่เปรียบเทียบฟอร์มการเล่นของทั้งคู่ก็แทบไม่ต้องคิดอะไรมาก เมื่อทีมเยือน นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด โชว์ผลงานร้อนแรงชนะรวด 4 เกมติดในทุกรายการ และยังเสียประตูเพียงแค่ลูกเดียวเท่านั้น กลายเป็นคนละทีมกับในช่วงออกสตาร์ทฤดูกาล ทำให้ อลัน พาร์ดิว ได้รับเครดิตจากการคุมทีมไปเต็ม ๆ ซึ่งการได้ผู้เล่นอย่าง โรลันโด้ อารอนส์ หรือ ชีค ติโอเต้ กลับมาสู่ทีมได้อีกครั้ง ยิ่งทำให้ระบบการเล่นเริ่มกลับมาลงตัวและเล่นกันได้เข้าขาอีกครั้ง เรียกว่าลืมสถิติที่ผ่านมาไปได้เลย หันไปดูฝั่งเจ้าบ้านกันบ้าง พวกเขามีปัญหาในเรื่องเกมรับที่เสียประตูถึง 8 ประตูใน 4 เกม (ไม่นับเกมล่าสุด) ซึ่งนั่นเป็นผลพวงมาจากการเสีย โยนาส โอลส์สัน ปราการหลังตัวหลักที่เจ็บ มองดูแล้วงานนี้น่าจะโดนทีมเยือนบุกลูบคมอย่างแน่นอน ฟันธง! รอง “สาลิกาดง” บุกซิวชัยเก็บสามแต้มล้ำค่ากลับบ้าน หรืออย่างแย่ไม่น่าแพ้ในเกมนี้…!

 โวล์ฟสบวร์ก

มาร์เซล เชเฟอร์ฟูลแบ็กตัวเก๋าเป็นสมาชิกรายล่าสุดของ โวล์ฟสบวร์กที่ถูกไข้เดี้ยงถามหาหลังจากกล้ามเนื้อต้นขาฉีกในเกมยูโรป้า ลีกจนต้องพัก 3 สัปดาห์ ซึ่งเมื่อนับรวมกับตัวเจ็บเดิมอย่างแบ็กซ้าย ริการ์โด้ โรดริเกวซ ทำเอาทัพ “หมาป่า” ขาดแคลนแบ็กและต้องขยับเซนเตอร์แบ็ก ทิมม์ โคลเซ่ลงดูแลเกมรับฝั่งซ้าย

ส่วนคู่เซนเตอร์แบ็กคืนตำแหน่งให้ นัลโด้ลงจับคู่กับ โรบิน น๊อกเก้ ขณะที่บรรดาคีย์แมน มักซิมิเลี่ยน อาร์โนลด์กับ อิวิก้า โอลิชเตรียมออกสตาร์ทเป็นตัวจริงหลังจากได้พักเมื่อมิดวีค แต่แถวสองชั้นดี ดาเนี่ยล คาลิกูรี่ (3 ประตู) ยังบาดเจ็บและไม่พร้อมคัมแบ็ก


 ฮัมบูร์ก

โจเซฟ ซินน์บอยเออร์กุนซือใหม่ของฮัมบูร์กพาลูกทีมพลิกโค่น เลเวอร์คูเซ่น 1-0 และหากไม่มีอะไรพลิกโผยคาดการณ์ว่าตัวจริงเซตเดิมเตรียมลงบู๊ต่อเนื่อง โดยรายของมาร์เซล แยนเซ่นตัวริมเส้นเพดานบินสูงมีอาการบาดเจ็บบริเวณต้นขา แต่น่าจะกัดฟันลงเล่นไหวและรอพักฟื้นทีเดียวช่วงพักลีกหลบให้โปรแกรมทีมชาติ

แต่โยฮัน ฌูรูกองหลังสวิสลัดคราบเดี้ยงที่น่องทันและเตรียมลงคุมเกมรับตามปกติ แนวรุก “สิงห์เหนือ” ระบบ 4-1-4-1 มีกัปตันทีม ราฟาเอล ฟาน เดอร์ ฟาร์ท ซึ่งนัดก่อนเป็นฮีโร่ยืนเป็นเพลย์เมคเกอร์และมี ลูอิส โฮลท์บี้เป็นลูกหาบช่วยเดินเกม

ชั่วโมงนี้การวางหมากของเทรนเนอร์เฮ็กคิงเรียกได้เต็มปากว่ามือทอง เพราะหยิบจับอะไรเป็นรุ่งไปหมด โดยล่าสุดโวล์ฟสบวร์กชนะมา 7 แมตช์ซ้อนและที่เซอร์ไพรส์คือเกมรุกยิงถึง 20 ประตูจาก 5 นัดท้ายทั้งๆที่เล่นแผนหน้าเป้าตัวเดียว จุดแข็งของทัพ “หมาป่า” คือแดนกลางที่ครบเครื่องและสอดขึ้นมายิงประตูดีเกือบทุกตัว จากฟอร์มการเล่นสุดฮ็อตประกอบกับความได้เปรียบในฐานะเจ้าบ้าน ทำให้ปัจจัยต่างๆเป็นใจกับการสานต่อความสำเร็จของโวล์ฟสบวร์กอย่างแท้จริง แม้ทีมเยือนจากเมืองเหนือจะเพิ่งคว้าจุดเปลี่ยนชั้นดีภายหลังปิดจ็อบใหญ่ด้วยการปราบเลเวอร์คูเซ่น แต่เทียบภาพรวมระหว่างสองทีมแล้ว นาทีนี้โวล์ฟสบวร์กจัดจ้านกว่าเยอะแถมเฮ็กคิงพาลูกทีมเคลื่อนทัพมาด้วยฟอร์มการเล่นคงเส้นคงวาจริง ๆ เชื่อว่าภารกิจส่ง “สิงห์เหนือ” กลับบ้านตัวเปล่าคงไม่ยากเกินกำลัง

 ดอร์ทมุนด์

เจอร์เก้น คล็อปป์เทรนเนอร์ดอร์ทมุนด์ได้รับข่าวดีที่นายทวารมือหนึ่ง โรมัน ไวเดนเฟลเลอร์กับตัวรุกมาร์โก รอยส์ผ่านการทดสอบความฟิตและพร้อมออกสตาร์ทเป็นตัวจริง โดยรายหลังจะได้ดวลทีมเก่า

ซึ่งโผทีมชุดแรกของ “เสือเหลือง” น่าจะยกยอดมาจากตอนถล่มกาลาตาซาราย 4-1 ในถ้วยแชมเปี้ยนส์ ลีก มี เฮนริคห์ เอ็มคิตาร์ยานประสานงานกับ ชินจิ คากาวะและ รอยส์ ขณะที่หน้าเป้าเป็น ปิแอร์ ออบาเมย็องลงล่าประตู โดยมีชิโร่ อิมโมบิเล่กับอาเดรียน รามอสเป็นตัวสอดแทรกหากคล็อปป์ต้องการเพิ่มมิติเกมรุก


 กลัดบัค

ลูเซียง ฟาฟร์กุนซือกลัดบัคพาต้นสังกัดบุกย้ำแค้นอาพอลลอน 2-0 ในฟุตบอลยูโรป้า ลีกและกลายเป็นชัยชนะสามนัดรวดของ “สิงห์หนุ่ม” ทั้งๆที่เกมดังกล่าวส่งตัวสำรองลงหลายตัวตามนโยบายหมุนเวียนขุมกำลัง

สำหรับทริปนี้ทีมเยือนพร้อมลุยด้วยทีมชุดแกร่ง ซึ่งสมาชิกตกสำรวจไปเพราะไข้เดี้ยงมีเพียงกรานิต ชาก้ารายเดียว ขณะที่ดาวยิงตัวเก่งมักซ์ ครูเซ่พร้อมคัมแบ็กหลังจากวืดเกมยุโรปเนื่องจากเจ็บกล้ามเนื้อต้นขา โดยจะประสานเกมบุกกับ  อันเดร ฮาห์น, พาทริค เฮอร์มันน์และ ราฟฟาเอล

เหลือเชื่อจริง ๆ สำหรับอันดับล่าสุดของดอร์ทมุนด์ เพราะหล่นลงบ๊วยเป็นที่เรียบร้อยหลังเจ้าของตำแหน่งเดิมอย่างเบรเมนปาดหน้าเก็บชัยไปก่อนแล้วในคืนวันเสาร์ ทำให้คล็อปป์ไม่มีทางออกอื่นนอกจากคว้าสามแต้มหากหวังถีบตัวหนีท้ายแถวก่อนเบรคลีกยาว แต่กระนั้นงานหนนี้ไม่ง่ายเลย เมื่อทีมเยือนคือกลัดบัคที่ระยะหลังเหมือนจะเริ่มจับทาง “เสือเหลือง” ถูก เพราะดวลกัน 4 ครั้งล่าสุด “สิงห์หนุ่ม” ยังไม่เคยเพลี่ยงพล้ำ (กลัดบัดชนะ 3 เสมอ 1) แถมฟอร์มล่าสุดเป็นลูกทีมของฟาฟร์ดีกว่าจะแจ้งและถึงตอนนี้กลัดบัครักษาสถิติไร้พ่ายในเทอมใหม่ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น อีกข้อได้เปรียบของทีมเยือนคือสภาพทีมพร้อมกว่ามากและหากเล่นได้ในมาตรฐานปกติเชื่อว่าทริปนี้จะสามารถบี้ผลเสมอพร้อมกับสานต่อผลงานไม่แพ้ดอร์ทมุนด์ได้ต่อไป

 ควีนส์ ปาร์ค แรนเจอร์ส

เจ้าบ้าน ควีนส์ ปาร์ค แรนเจอร์ส ทีมรองบ๊วยอันดับ 19 ของกุนซือ แฮร์รี่ เร้ดแน็ปป์ เกือบจะบุกเก็บแต้มสำคัญจาก เชลซี ในเกมล่าสุดได้แล้ว แต่ดันมาเสียจุดโทษในช่วงท้ายเกมก่อนจะพ่ายไปในที่สุด

สำหรับความพร้อมของทีมในวันนี้จะได้นักเตะหลายรายหายเดี้ยงกลับมาลงซ้อมได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็น เนดุม โอนูโอฮา, โจอี้ บาร์ตัน และ จอร์แดน มัตช์ ส่วนในรายของ อเลฮานโดร ฟาอูร์ลิน ก็ยังคงอยู่ในขั้นตอนการรักษาตัว นอกจากนี้ ริโอ เฟอร์ดินานด์ ปราการหลังตัวเก๋าก็ยังติดโทษแบนหมดสิทธิ์ลงช่วยทีม ทำให้ ริชาร์ด ดันน์ (5 นัด) ยังคงได้จับคู่กับ สตีเว่น คอลเกอร์ (10 นัด/1 ประตู) ในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ค


 แมนเชสเตอร์ ซิตี้

ส่วนทางฝั่งของทีมเยือนอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมอันดับ 3 ของผู้จัดการทีม มานูเอล เปเญกรินี่ พาทีมออกทะเลไกล โดย 5 เกมหลังสุดรวมทุกรายการ แพ้ไปถึง 3 เกมเลยทีเดียว

สำหรับความพร้อมของทีมล่าสุดมีปัญหาในเรื่องเกมรับ เมื่อ แวงซ็อง ก็องปานี กับ อเล็กซานเดอร์ โคลารอฟ ได้รับบาดเจ็บและจะไม่มีชื่อลงสนามในเกมนี้ เช่นเดียวกับ แฟร้งค์ แลมพาร์ต และ ดาบิด ซิลบา ที่เจ็บไปก่อนหน้านี้ ทำให้ เปเญกรินี่ ต้องส่ง มาร์ติน เดมิเคลิส (7 นัด/1 ประตู) จับคู่กับ อิเลียกิม ม็องกาล่า (4 นัด) ยืนเซ็นเตอร์แบ็ค ส่วนคู่หน้าจะใช้ เอดิน เชโก้ (9 นัด/2 ประตู) ประสานงานกับ เซร์คิโอ อเกวโร่ (10 นัด/10 ประตู)

ดูเหมือนว่าอาถรรพ์กองหลังเดี้ยงจะไม่ได้มีผลเฉพาะแค่ที่ ยูไนเต็ด เท่านั้น ซึ่งคู่ปรับร่วมเมือง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เองก็ได้รับผลของคำสาปนี้เช่นกัน โดยล่าสุดเหลือเพียงแค่ มาร์ติน เดมิเคลิส กับ อิเลียกิม ม็องกาล่า ที่น่าจะพอไว้ใจได้ แต่คงไม่ใช่ปัญหา เพราะยังดีที่ผู้เล่นตัวหลักยังอยู่กันครบทุกขุมกำลัง อย่างไรก็ดี ลูกทีมของ มานูเอล เปเญกรินี่ กำลังกระหายชัยชนะอย่างหนัก หลังโชว์ฟอร์มไม่ดีอย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าน่าจะใช้เกมนี้ในการเรียกความมั่นใจกลับมาได้ เพราะถือว่า ควีนส์ ปาร์ค แรนเจอร์ส ไม่ใช่คู่แข่งที่น่ากลัวสักเท่าไหร่ ซึ่งฤดูกาลนี้เก็บได้เพียงแค่ 7 แต้มในบ้านของตัวเองเท่านั้น

โดยสวนทางกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เล่นเกมเยือน 5 นัดในซีซั่นนี้ ชนะไปถึง 3 และยิงได้ 11 ประตูเลยทีเดียว โดยเฉพาะ เซร์คิโอ อเกวโร่ ที่ยิงประตูเป็นว่าเล่นไปแล้วกว่า 10 ลูก เห็นทีว่างานนี้เจ้าบ้านไม่น่ารอด ฟันธง! กัดฟันต่อ “เรือใบสีฟ้า” บุกล่าท้าชน “ทหารเสือราชินี” พร้อมยิงสะลุตรับทรัพย์ครับพี่น้อง…!

 เวสต์แฮม ยูไนเต็ด

เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ทีมอันดับ 5 ของกุนซือ แซม อัลลาไดซ์ ทำผลงานออกสตาร์ทฤดูกาลได้อย่างยอดเยี่ยม โดยผ่านไป 10 นัดมีคะแนนถึง 17 แต้มเลยทีเดียว

สำหรับความพร้อมล่าสุดของทีม ได้รับข่าวดีเมื่อ แอนดี้ แคร์โรลล์ หายเจ็บกลับมาลงซ้อมได้แล้ว แต่น่าจะยังฟิตไม่พอที่จะลงเล่นเกมนี้ได้ ส่วนในรายของ วินส์ตัน รีด ปราการหลังตัวหลักต้องลุ้นอาการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อต้นขาก่อนที่จะส่งชื่อลงสนาม นอกจากนี้ในรายของแข้งเดี้ยงอย่าง กีย์ เดเมล น่าจะกลับมาลงซ้อมได้อีกครั้งปลายเดือน พฤศจิกายน ซึ่งคาดว่า เจมส์ ทอมกิ้นส์ (7 นัด) น่าจะได้รับโอกาสลงสนามจับคู่กับ เจมส์ คอลลิ้นส์ ในคู่เซ็นเตอร์แบ็ค ในขณะที่ตัวรุก 3 รายยังใช้ตัวเดิมทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง (10 นัด/2 ประตู), เอ็นเนอร์ วาเลนเซีย (9 นัด/3 ประตู) และ เดียฟรา ซาโก้ (7 นัด/6 ประตู)


 แอสตัน วิลล่า

ส่วนทางฝั่งของทีมเยือนอย่าง แอสตัน วิลล่า ทีมอันดับ 16 ของผู้จัดการทีม พอล แลมเบิร์ต หลังจากที่เอาชนะ ลิเวอร์พูล 1-0 เมื่อกลางเดือน กันยายน ซึ่งต่อจากนั้น 6 เกมพ่ายรวด แถมยังยิงได้แค่ประตูเดียวในเกมที่แพ้ใหักับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 1-2 ในแมตช์ล่าสุด

สำหรับความพร้อมของทีมในก่อนเกมจะไม่สามารถใช้บริการของ คริสติย็อง เบนเตเก้ (4 นัด) ดาวยิงตัวเก่งที่ติดโทษแบน ซึ่งเกมนี้คาดว่า ฟิลิปป์ เซนเดรอส น่าจะฟิตทันลงสนามในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ค ควงคู่กับ รอน ฟลาร์ (6 นัด) ในขณะที่ ทอม เคลเวอร์ลี่ย์ (7 นัด), อันเดรส ไวมันน์ (10 นัด/3 ประตู) และ ชาร์ลส์ เอ็น’ซอกเบีย (9 นัด) จะรับหน้าที่ทำเกมรุกเป็นสามประสานในแดนกลาง คอยป้อนบอลให้กับ กาเบรียล อั๊กบอนลาฮอร์ (9 นัด/2 ประตู) จบสกอร์

คงจะไม่มีใครกล้าปฏิเสธความร้อนแรงของทีม “ขุนค้อน” ของ แซม อัลลาไดซ์ ที่กำลังโบยบินอยู่บนหัวตาราง หลังโชว์ฟอร์มในบ้าน 3 นัดหลังสุดยังไม่แพ้ใคร แถมยังคว้าชัยไปได้ถึง 3 เกมรวดอีกด้วย สวนทางกับทีมเยือน แอสตัน วิลล่า ที่ย่ำแย่เสมอต้นเสมอปลายทั้งในบ้านและนอกบ้าน ซึ่ง 3 เกมเยือนหลังสุด พ่ายทั้ง 3 นัด และไปเสีย 8 ประตูแบบที่ยิงคืนไม่ได้เลย ยิ่งไปกว่านั้นในเกมนี้จะขาด คริสติย็อง เบนเตเก้ ที่ติดโทษแบนอีกด้วย ยิ่งทำให้เกมรุกลดศักยภาพลงไปอีกระดับ

แต่พอหันไปดูเกมรุกของเจ้าบ้าน เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ต้องบอกว่าแจ๋วกว่าเป็นกอง แถมยังได้ เดียฟรา ซาโก้ ที่ซัดไปแล้ว 6 ประตูกลับมาฟิตเปรี้ยะพร้อมลงล่าตาข่ายอีกด้วย ณ เวลานี้สามประสานในแดนหน้าของ “ขุนค้อน” ไม่ธรรมดาจริง ๆ ฟันธง! เชียร์บอลต่อ เชื่อประสิทธิภาพของเกมรุกของสามทหารเสือพร้อมทะลวงสกอร์เอาใจแฟนบอลแน่นอน…!

 เซาท์แฮมป์ตัน

เจ้าบ้าน เซาท์แฮมป์ตัน ทีมรองจ่าฝูงอันดับ 2 ของผู้จัดการทีม โรนัลด์ คูมัน ทำทีมฟอร์มสวยหรูมาก โดยเฉพาะ 4 เกมหลังสุด ที่ชนะรวดและยิงถล่มทะลายไปถึง 13 ประตู

สำหรับความพร้อมของทีมล่าสุด คาดว่า คูมัน น่าจะใช้ผู้เล่นชุดเดิมกับเกมที่ผ่านมาลงสนามทั้งหมด เว้นแต่ ซาดิโอ มาเน่ (5 นัด/1 ประตู) ที่กลับมาฟิตเต็มสูบและลงสนามแทน เชน ลอง (9 นัด) ที่น่าจะได้พักเป็นสำรองในเกมนี้ ส่วนผู้แข้งตัวหลักอื่น ๆ ยังอยู่กันครบ ซึ่งจะขาดก็เพียงตัวยาวค้างคาอย่าง เจมส์ วอร์ด-เพราวส์, เจย์ โรดริเกซ และ แซม กัลลาเกอร์ ที่ต้องพักรักษาตัวอีกนาน


 เลสเตอร์ ซิตี้

ส่วนทางฝั่งของทีมเยือนอย่าง เลสเตอร์ ซิตี้ ทีมอันดับ 18 ของกุนซือ ไนเจล เพียร์สัน ยังคงตามหาชัยชนะนัดแรกในรอบ 5 เกมหลังสุด นับตั้งแต่ที่เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 5-3 เมื่อปลายเดือน กันยายน

สำหรับความพร้อมล่าสุดของทีม เพียร์สัน เตรียมปรับระบบมาใช้ 4-5-1 โดยวาง ลีโอนาโด้ อูญัว (10 นัด/5 ประตู) เป็นหัวหอกตัวเป้า และใช้ เจมี่ วาร์ดี้ (8 นัด/1 ประตู) กับ เจฟฟรี่ย์ ชลุ๊ปป์ (7 นัด/1 ประตู) ขึ้นเกมจากริมเส้น นอกจากนี้ยังปรับให้ เอสเตบัน กัมบีอัสโซ่ (6 นัด/1 ประตู) ไปยืนเซ็นเตอร์แบ็คแทนที่ของ เลียม มัวร์ (9 นัด) ที่หลุดไปเป็นตัวสำรอง

แค่ดูเรื่องฟอร์มการเล่นของทั้งสองทีมก็แตกต่างราวฟ้ากับเหวแล้ว แถมสถิติการเล่นในบ้านของ เซาท์แฮมป์ตัน ยังโคตรโหดอีกด้วย โดย 5 เกมในฤดูกาลนี้ยังเอาชนะไปได้ถึง 4 ครั้ง และยังไม่แพ้ใครคาบ้าน นอกจากนี้ยังถลุงคู่แข่งไปมากกว่า 15 ประตู และเสียเพียงแค่ 1 ลูกเท่านั้น เรียกว่าเกมรับดีเกมรุกเยี่ยม ลงตัวทุกขุมกำลัง ซึ่งการเข้ามาของ โรนัลด์ คูมัน เหมือนเป็นการเสริมทัพที่ถูกจุดยิ่งกว่านักเตะเสียอีก

สวนทางกับทีมเยือน เลสเตอร์ ซิตี้ ที่มีสถิติเล่นนอกบ้านได้ย้ำแย่ ด้วยการแพ้ 4 จาก 5 นัด และเสียไปถึง 7 ประตู ซึ่งวันนี้แผนการเล่นของพวกเขาดูเหมือนว่าจะมาเน้นรับให้เหนียวแน่นที่สุด เพื่อหวังหนึ่งแต้มกลับบ้าน โดยที่ไม่คิดจะแลกด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายก็ยังมั่นใจว่าเกมรุกที่หลากหลายของ “นักบุญแดนใต้” ไม่กิ๊กก็อกเหมือนที่ผ่านมา ฟันธง! กัดฟันต่อ เซาท์แฮมป์ตัน ฟันแขกในบ้าน เชื่อหนึ่งเม็ดมีแน่ ลุ้นลูก 2-3 ยาวครับพี่น้อง…!

 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมอันดับ 10 ของกุนซือ หลุยส์ ฟาน กัล ยังไม่สามารถเอาชนะใครได้เลยจาก 3 เกมหลังสุด โดยล่าสุดเพิ่งจะพ่ายให้กับคู่ปรับร่วมเมืองอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 0-1

สำหรับความพร้อมของทีมก่อนเกม ฟาน กัล ต้องปวดหัวหนักเมื่อผู้เล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็คทั้งเจ็บและแบนรวมกันถึง 4 ราย ทำให้งานนี้ ไมเคิ่ล คาร์ริค (1 นัด) น่าจะได้ลงสนามจับคู่กับ ไทเลอร์ แบล็กเก็ตต์ (6 นัด) ชนิดขัดตาทัพไปก่อน และขยับให้ อันโตนิโอ วาเลนเซีย (6 นัด) ลงมาเล่นเป็นแบ็คขวาจำเป็น ส่วนในแผงเกมรุกจะมี มารูยาน เฟลไลนี่ (5 นัด/1 ประตู) ทำเกมกับ อังเกล ดิ มาเรีย (8 นัด/3 ประตู) เป็นคู่กลาง โดยถ่าง เวย์น รูนี่ย์ (7 นัด/3 ประตู) กับ อั๊ดนาน ยานาไซ (8 นัด) เติมเกมรุกริมเส้น


 คริสตัล พาเลซ

ส่วนทางฝั่งของทีมผู้มาเยือนอย่าง คริสตัล พาเลซ ทีมอันดับ 17 ของเทรนเนอร์ นีล วอร์น็อค สะกดคำว่า “ชนะ” ไม่เป็นติดต่อกันเป็นเกมที่ 4 โดยล่าสุดพ่ายเละคาบ้านให้กับ ซันเดอร์แลนด์ 1-3

สำหรับความพร้อมของทีมในวันนี้ ต้องรอลุ้นอาการป่วยของ เดเมี่ยน เดลานี่ย์ กองหลังตัวหลักที่ป่วยเล็กน้อย ส่วนในรายของ ไมล์ เยดินัค กองกลางตัวเก่งที่ติดโทษแบนจะหมดสิทธิ์ลงสนามช่วยทีมได้ ทำให้ เจมส์ แม็คอาร์เธอร์ (5 นัด) จะได้รับโอกาสลงสนามแทนในบทบาทมิดฟิลด์ตัวรับ นอกจากนี้จะได้ สกอตต์ แดนน์ (7 นัด) เซ็นเตอร์แบ็ควัย 27 ปี ฟิตกลับมายึดตำแหน่งตัวจริงอีกครั้ง และส่งผลให้ เบรเด้ ฮังเกลันด์ (5 นัด/2 ประตู) หลุดไปเป็นตัวสำรอง

ปัญหาที่คาราคาซังของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็คือขุมกำลังในเกมรับที่มีให้เลือกใช้อย่างจำกัด โดยทำให้เกมนี้ต้องหันมาใช้ ไมเคิ่ล คาร์ริค ที่สวมบทบาทเซ็นเตอร์จำเป็น อีกทั้ง ไทเลอร์ แบล็กเก็ตต์ ปราการดาวรุ่งที่ประสบการณ์ยังถือว่าน้อยนิดจับคู่เฝ้าหลังบ้าน ซึ่งแน่นอนว่าหากผู้เล่นในตำแหน่งอื่นไม่ลงมาช่วยเกมรับ มีหวังได้ลุ้นเสียวตลอดทั้งเกมแน่ แถมในเกมนี้จะไม่มี ราดาเมล ฟัลเกา ในแดนหน้าอีกด้วย

อย่างไรก็ดี ประเด็นที่จะถูกหยิบมาพูดถึงก็คือเรทที่ค้ำคออยู่ที่ 1.5 ซึ่งสถิติ 5 เกมหลังสุดของ “ปีศาจแดง” ยังไม่สามารถเอาชนะคู่แข่งได้เกินสองเม็ด แต่วันนี้เชื่อว่าเจ้าบ้านจะสามารถเอาชนะและถล่มคู่แข่งเพื่อเรียกความมั่นใจกลับมาได้